ด้วยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ได้จัดตั้งให้มีหน่วยประสานงาน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี กรุงเทพมหานคร ตามมติสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ในการประชุมครั้งที่ 2/2536 เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2536 โดยให้เป็นหน่วยงานที่ขึ้นตรงกับสำนักงานอธิการบดี อยู่ในกำกับดูแลของรองอธิการบดีที่อธิการบดีมอบหมาย 
ในระยะเริ่มแรก หน่วยประสานงานมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี กรุงเทพมหานคร มีสถานที่ตั้งอยู่ที่ทบวงมหาวิทยาลัย (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา) ชั้น 3 ชั้น 6 และอาคารแหลมทอง ตามลำดับ ปัจจุบัน หน่วยประสานงานมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี กรุงเทพมหานคร มีสถานที่ทำงานอยู่ที่ อาคารพญาไท พลาซ่า ชั้น 22 โดยมีห้องชุดสำนักงาน จำนวน 2 ยูนิต คือ ห้องชุดเลขที่ 128/237 (ยูนิต 22 C) มีขนาดพื้นที่ 149.13 ตารางเมตร สำหรับเป็นห้องทำงานของท่านอธิการบดี ห้องปฏิบัติงานของพนักงานหน่วยประสานงานมหาวิทยาลัยเทคโนโลยี สุรนารี กรุงเทพมหานคร ห้องประชุม ห้องรับรอง และห้องเตรียมอาหาร และห้องชุดเลขที่ 128/238 (ยูนิต 22 D) มีขนาดพื้นที่ 120.17 ตารางเมตรสำหรับเป็นห้องประชุมสื่อสารสองทาง มีห้องชุดพักอาศัย จำนวน 1 ยูนิต คือ ห้องชุดพักอาศัยเลขที่ 128/538 (ชั้น 18 ห้อง 5) มีขนาดพื้นที่ 100.68 ตารางเมตร สำหรับเป็นที่พักรับรองคณาจารย์และบุคลากรของมหาวิทยาลัย ที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจของมหาวิทยาลัย ณ กรุงเทพมหานคร

                 ต่อมาในปี พ.ศ. 2552 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีมีความประสงค์จะปรับปรุงห้องประชุมสื่อสารสองทางใหม่เพื่อรองรับระบบ E-meeting ซึ่งห้องประชุมปัจจุบันมีขนาดเล็กเกินไป ดังนั้น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จึงยุบห้องชุดสำนักงาน จำนวน 2 ยูนิตเข้าด้วยกัน เป็นการขยายห้องเพื่อรองรับระบบดังกล่าว โดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีได้ดำเนินการจัดซื้อห้องชุดสำนักงานใหม่ จำนวน 1 ยูนิต คือ ห้องชุดเลขที่ 128/243 (ยูนิต 22 I )มีขนาดพื้นที่ 149.13 ตารางเมตร โดยได้เริ่มเปิดทำการในวันพุธที่ 9 ธันวาคม 2552 เป็นต้นมา สำหรับห้องประชุมปรับปรุงใหม่สามารถรองรับผู้เข้าร่วมประชุมได้ 36 ที่นั่ง ติดตั้งระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่สามารถจัดการประชุมทางไกลผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ความเร็วสูง โดยมีคอมพิวเตอร์สำหรับการจัดประชุมอิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 30 เครื่อง ทั้งนี้ได้รับความกรุณาจากศาสตราจารย์ ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน นายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี กำหนดชื่อ “ห้องประชุมพจนสาร” ซึ่งหมายถึงห้องประชุมซึ่งผู้รู้ได้มาร่วมพูดคุยกันอย่างมีสาระต่อการพัฒนาของมหาวิทยาลัยและรับเชิญเป็นประธานในพิธีเปิด “ห้องประชุมพจนสาร” อย่างเป็นทางการ ในการประชุมสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ครั้งที่ 6/2553 เมื่อวันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2554 โดยมีศาสตราจารย์ ดร.ประสาท สืบค้า อธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี พร้อมด้วยคณะกรรมการสภามหาวิทยาลัยและคณะผู้บริหาร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีร่วมพิธีดังกล่าว

หน่วยประสานงานมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี กรุงเทพมหานคร มีภารกิจหลักในการสนับสนุนการภารกิจของมหาวิทยาลัยให้บรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ โดยการช่วยติดต่อการประสานงานและอำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ ตามนโยบาย “รวมบริการ ประสานภารกิจ” ของมหาวิทยาลัย โดยได้จัดองค์กรเพื่อการบริหารงานดังต่อไปนี้
                1.ฝ่ายธุรการ
มีหน้าที่รับผิดชอบงานสารบรรณ งานการเงินและงบประมาณ งานรับสมัครบุคลากร/นักเรียนทุน งานสัญญาและข้อผูกพัน งานหนังสือเดินทางและวีซ่า งานพัสดุ งานบริการห้องชุดพักอาศัย งานบริการยานพาหนะ งานประสานงานทั่วไป และงานอื่น ๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย  
               2. ฝ่ายงานด้านสารสนเทศ
มีหน้าที่รับผิดชอบการบริการด้านสนับสนุนบริการวิชาการ การบริการจัดเตรียมห้องประชุม การให้บริการระบบสื่อสารสองทางผ่านจอภาพเพื่อการเรียนการสอน การจัดเตรียมความพร้อมของอุปกรณ์สื่อโสตทัศนูปกรณ์ การจัดทำและพัฒนาเว็บไซด์ของหน่วยงาน การควบคุมดูแลประสานงานด้านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ การจัดทำระบบฐานข้อมูลเพื่อการบริหารจัดการ เป็นต้น
หน่วยประสานงานมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี กรุงเทพมหานคร นอกจากจะเป็นที่ทำการของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีแล้ว ยังเป็นที่ทำการของสำนักงานอีก 2 แห่ง ได้แก่
1. สำนักงานที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ (ทอมก.)
ที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ จัดตั้งขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช 2542 โดยศาสตราจารย์ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน ซึ่งดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ขณะนั้น เป็นประธาน ทอมก ท่านแรก โดยพิจารณาเห็นว่ามหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ จำนวน 6 แห่ง มีการบริหารมหาวิทยาลัยและแนวทางปฏิบัติที่แตกต่างจากมหาวิทยาลัยของรัฐที่เป็นส่วนราชการ จำเป็นต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น จึงได้ทำข้อตกลงว่าด้วยที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ พ.ศ. 2542 ขึ้น เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2542 ปัจจุบันมีมหาวิทยาลัยสมาชิกเพิ่มขึ้นจากเดิม จำนวน 6 แห่ง เป็นจำนวน 14 แห่ง ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช-วิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระ-จอมเกล้าพระนครเหนือ มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า-เจ้าคุณทหารลาดกระบัง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยทักษิณ และมหาวิทยาลัยพะเยา
2. สำนักงานสมาคมวิจัยสถาบันและพัฒนาอุดมศึกษา (สวพอ.)
สมาคมวิจัยสถาบันและพัฒนาอุดมศึกษา จัดตั้งขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช 2543 โดยศาสตราจารย์ ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน ซึ่งดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ขณะนั้น เป็นนายก สวพอ ท่านแรก โดยมีวัตถุประสงค์
1. เป็นศูนย์กลางของนักวิจัยสถาบัน นักสถิติ นักวัดผลและนักประเมินผลทางการศึกษา นักวิชาการด้านการศึกษา ด้านนโยบายและแผน และผู้บริหารการศึกษาระดับอุดมศึกษา ได้พบปะแลกเปลี่ยนความคิดใหม่ ๆ อันจะนำไปสู่ประโยชน์ในทางวิชาการ และวิชาชีพ
2. ส่งเสริมการทำวิจัยสถาบัน และนำไปใช้ในการประเมิน การวางแผน การพัฒนา และการประกันคุณภาพการศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา อันจะนำไปสู่การพัฒนาอุดมศึกษา
3. ร่วมมือกับองค์กรอื่น ๆ ที่มีวัตถุประสงค์คล้ายคลึงกัน
4. เสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่งานวิจัยสถาบัน งานนโยบายและแผน งานประกันคุณภาพการศึกษา และการพัฒนาด้านต่าง ๆ ในสถาบันอุดมศึกษา
5. ให้บริการวิชาการทางด้านวิจัยสถาบัน ด้านนโยบายและแผน และการประกันคุณภาพการศึกษาระดับอุดมศึกษา และเผยแพร่ผลงานเหล่านี้ให้แพร่หลายไปยังสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาและองค์กรที่เกี่ยวข้อง
6. พิทักษ์สิทธิ หน้าที่ ผดุงเกียรติ และส่งเสริมความก้าวหน้าทางวิชาการ ด้านวิจัยสถาบัน และการพัฒนาอุดมศึกษาของสมาชิก
ที่ผ่านมาหน่วยประสานงานมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี กรุงเทพมหานคร มีผู้กำกับดูแลดำเนินงานให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย จำนวน 3 ท่านตามลำดับ ได้แก่ 1) รองศาสตราจารย์ ดร.องค์การ อินทรัมพรรย์ รองอธิการบดีฝ่ายกิจการทั่วไป 2) นางสาววิไล จงวุฒิคุณ เจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป 3) นางสาวกัลยา ทับเกร็ด เจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป ปัจจุบัน มีนางพิชชาพร สิริมงคลเสถียร เจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป ซึ่งโอนย้ายมาจากสำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี เป็นผู้กำกับดูแลความเรียบร้อย ตั้งแต่เดือน เมษายน 2542 จนถึงปัจจุบัน